วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review : บันเทิงได้+ไม่ตื่นสายด้วยกับนาฬิกาปลุกเสียงดีที่มีนามว่า 'JBL Horizon'

ถ้ากำลังมองหาตัวช่วยปลุกอารมณ์ให้ครึกครื้นและตื่นนอน นี่คือสิ่งที่ควรมีไว้ในห้องพักผ่อนของคุณ

สำหรับคนรักเสียงเพลงแล้ว แน่นอน พวกเขาอยากจะเสพมันทุกที่ ไม่เว้นแม้ในห้องนอน แต่จะดีแค่ไหนกัน ถ้าลำโพงสักตัวทำได้มากกว่านั้น เพื่อให้คุ้มค่ากับการประดับไว้บนหัวเตียง โดย JBLพัฒนารุ่น Horizon ขึ้นมาและหวังว่า มันจะเป็นที่รักของทุกคน อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความคาดหวังของพวกเขา เพราะเราต้องตัดสินจากการใช้งานจริงและ FHM Tech ขออาสาทำการทดสอบให้รู้แจ้งว่า ตกลงแล้ว  JBL Horizon จะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแค่ไหนกัน? 

หลังจากแกะกล่องออกมา เราก็พบลำโพงที่มีด้านหน้าและหลังเป็นทรงกลม แต่ตัดด้านล่าง เพื่อให้เป็นฐานวางตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นกระจกซึ่งออกแนวหม่นเล็กน้อย สำหรับแสดงบอกเวลา+วันเป็นหลักบริเวณตรงกลาง ส่วนด้านบนมีปุ่มสำหรับสั่งการ ทั้งปุ่มแนวยาวพาดตรงกลางเพื่อเลื่อนเวลาปลุก/เปิดไฟ (SNOOZE/LIGHT) และด้านซ้าย-ขวาของปุ่มเป็นส่วนลด-เพิ่มระดับเสียง นอกจากนี้ยังมีแผงสำหรับตั้งปลุก 1 และ  2 เวลา, เลื่อนกลับ-หยุดเล่น-เลื่อนไปข้างหน้า เมื่อเล่นเพลง, วิทยุ, บลูทูธ และตั้งเวลาปิดจอหรือเข้าสลีปโหมด ซึ่งถือว่า ค่อนข้างครบกับสิ่งที่่ JBL ต้องการให้เป็นและเหมาะสมกับการใช้งาน อีกทั้งต้องบอกว่า พวกเขาทำมาได้ดี โดยปุ่มต่างๆ จัดวางเป็นระเบียบและดูไม่รุงรัง




ด้านหลังก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากแผงหลอดไฟ LED สำหรับส่องสว่าง ซึ่งในการใช้งาน เด็ดมากตรงที่มันจะค่อยๆ สว่าง เหมือนแสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าช่วงเช้าตรู่ โดยช่วยให้หายขี้เซาง่ายขึ้นเหมือนเป็นตัวช่วยปลุกนอกจากใช้เสียงขณะที่ตรงฐานเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาพอร์ตต่างๆ อย่างเช่น AUX IN (สายสัญญาณ 3.5มม. ทั่วไป เพื่อใช้ต่อออกอุปกรณ์อื่นๆ เช่นลำโพงหรือโน้ตบุ๊ก), ช่องต่อสำหรับใช้ไฟฟ้าบ้าน และช่องต่อสายสำหรับเสาสัญญาณวิทยุ FM นั่นเอง

นอกจากนี้ก็มีปุ่มตั้งเวลา (SET TIME) และ DST ซึ่งไม่จำเป็นกับการใช้งานในไทยเท่าไหร่นัก เพราะไม่มีการปรับเวลาเหมือนทางฝั่งยุโรป พร้อมด้วยช่องใส่ถ่านนาฬืิกา (สำหรับไว้เป็นแหล่งพลังงานให้นาฬิกา เมื่อไฟฟ้าดับ) และมี USB มาให้สองพอร์ตบริเวณด้านซ้ายของตัวเครืื่อง โดยนั่นหมายความว่า นอกจากทำหน้าที่เป็นทั้งนาฬิกาปลุกหรือลำโพงแล้ว ก็ยังสามารถทำการชาร์จแบตเตอรี่ให้กับบรรดาอุปกรณ์พกพาได้อีกด้วย อย่างเช่น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, กล้อง



การใช้งาน เริ่มจากนาฬิกา สามารถตั้งเวลาได้ด้วยปุ่ม SET TIME ที่อยู่ด้านล่าง จากนั้น ตัวเลขตรงกระจกจะกระพริบ ให้เลือกปรับ โดยมีตั้งแต่รูปแบบการบอกเวลาเป็น 12/24 ชั่วโมง (เช่น 1 pm/13.00 น.) ซึ่งใช้ปุ่มด้านบนที่มีไว้สำหรับเลื่อนเพลงในการเลือก (รูปสามเหลี่ยมด้านซ้าย-ขวา) เมื่อเสร็จแล้ว ให้กดปุ่มกลมตรงกลาง เพื่อยืนยันและไปปรับแต่งเวลาจริง รวมถึงวัน/เดือน/ปี ในลำดับต่อไป โดยนับว่า ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ คล้ายๆ  กับการตั้งค่าในนาฬิกาปลุกทั่วไป

ส่วนการตั้งปลุกนั้น ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่  เพียงกดปุ่มด้านบนที่มีรูปนาฬิกาปลุก 1 หรือ 2 ค้างไว้ ประมาณ 2 วินาที หลังจากตัวเลขบอกชั่วโมงกะพริบ ('06'. 00 น.) ก็กดปุ่มซึ่งมีไว้สำหรับเลื่อนเพลง เพื่อเลือกเวลา อย่างเช่น จาก 06.00 น. เป็น 07.00 น. เป็นต้น จากนั้น ยืนยันด้วยปุ่มกลมตรงกลางเช่นเคย เพื่อไปต่อยังการเลือกระยะการปลุก เช่น หนึ่งวัน, วันธรรมดา, สุดสัปดาห์, เพลง หรือเปิดไฟ ซึ่งก็ใช้วิธีตั้งค่าเหมือนกัน โดยในการใช้งาน เมื่อนาฬิกาปลุก คุณสามารถปิดเสียงจากปุ่มกลมตรงกลางหรือเลื่อนเวลาปลุกด้วยการกดปุ่ม (SNOOZE/LIGHT) ค้างไว้ เพื่อกำหนดเวลา (เช่น 10-15 นาที)  ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์จากไฟ LED ด้านหลังในการทำหน้าที่เป็นโคมไฟอ่านหนังสือก็ได้

ส่วนคุณประโยชน์ในแง่ความบันเทิง เราทดสอบด้วยการฟังเพลงจากสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ โดยกดปุ่มรูปบลูทูธค้างไว้ 2 วินาที เพื่อเปิดสัญญาณและจับคู่ (คำว่า PAIRING กะพริบ) เมื่อเชื่อมต่อได้แล้ว (ทำได้รวดเร็วมาก ต้องขอบคุณระบบบลูทูธ 4.1) เราลองเล่นเพลงหลากหลายแนวด้วยไฟล์ยอดนิยมอย่าง MP3 ระดับ 320 kbps จาก iPhone 5s พบว่า ตอบโจทย์ได้ดี แม้เบสไม่หนักหน่วงหนัก ตามประสาลำโพงขนาดเล็ก แต่ถือว่า พอมีให้ชื่นใจ อีกทั้งเสียงกลางก็เด่นเช่นเดียวกับเสียงนักร้อง เหมาะกับเพลงฟังสบายอย่างแจ็สหรือป็อบ แล้วอีกอย่างคือ เพลงประเภทนี้น่าจะช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น หากคุณต้องการผ่อนคลายก่อนนอนจากวันทำงานอันแสนเคร่งเครียด ภายใต้กำลังขับ 2 x 5W  ซึ่งเหลือเฟือสำหรับห้องนอน แม้การควบคุมเพลงจะไม่มีรีโมตมาให้ แต่ด้วยความเป็นที่่อุปกรณ์ที่จัดวางไว้ใกล้ตัว เช่น ข้างหรือหัวเตียง จึงเอื้อมมือไปกดไม่ยาก อย่างไรก็ดี เราหวังว่า รุ่นต่อไป แกะกล่องออกมาแล้ว ขอให้เจอรีโมตนะ



จุดเด่นอีกอย่างสำหรับคนรักเสียงเพลงหรือฟังข่าวสารคือ วิทยุ (รองรับความถี่ในไทยคือ 76-108 MHz) ซึ่งก็ใช้ง่ายไม่แพ้กัน เพียงกดปุ่มรูปวิทยุค้างไว้ 2 วินาที เสียงจากรายการวิทยุก็จะลอยออกมาให้คุณได้ยินทันที จากนั้นอยากฟังคลื่นไหน ก็เลื่อนได้ตามใจชอบด้วยปุ่มที่มีไว้สำหรับเลื่อนเพลงซึ่งกดค้างไว้เพื่อสแกนหาคลื่นได้ด้วย หรือสามารถจัดเก็บสถานนีสุดโปรดได้ถึง 5 สถานี ซึ่งคุณภาพที่ได้ แม้เป็นรองวิทยุในมือถืออยู่บ้าง แต่โดยรวมก็คมชัดมากทีเดียวทั้งหมดนี้ คือ คุณสมบัติหลักที่เราเน้นเป็นพิเศษ เนื่องจากจำเป็นต้องได้ใช้งานบ่อยที่สุด ส่วนที่เหลือนั้น คุณสามารถอ่านคู่มือเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะบอกว่า ใช้งานง่ายจนเราอยากให้คุณไปลองเอง แล้วจะรู้ว่า JBL Horizon เจ๋งมากแค่ไหน

สรุป
JBL Horizon มาพร้อมรูปร่างหน้าซึ่งดูเท่ แถมวัสดุก็คุณภาพดีมาก เหมาะกับราคาค่าตัว 3,990 บาท โดยใช้งานง่ายและไม่ยุ่งยาก แทบทุกฟังก์ชั่นที่มี อีกทั้งเสียงดี เหมาะกับเพลงฟังเบาๆ ในห้องนอน ไม่เพียงเท่านั้น ยังปลุกเสียงดังฟังชัด ทำให้ตื่นง่ายแถมมีไฟช่วย แม้ขาดรีโมตไป แต่อย่างที่บอกว่า ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ เพราะเอื้อมมือไปกดได้ค่อนข้างสะดวก โดยถือเป็นลำโพงขนาดเล็กเสียงดีอีกรุ่นที่คุณไม่อาจมองข้าม เพราะให้ได้มากกว่าการฟังเพลง...
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: Mahajak Development โทร.02-256-0020-9  www.mahajaklife.com
ขอขอบคุณ : FHM

รีวิว : Denon Envaya Mini ลำโพงพกพาขนาดน้อยนิด แต่พลังเสียงมหาศาล!

สวัสดีครับชาว TechXcite กลับมาพบกับ ป๋าเอก อีกครั้งกับการรีวิวอุปกรณ์ไอทีและ Gadget ที่น่าสนใจซึ่งต้องบอกว่าคราวนี้ไม่ได้พบกันนานมากกกกก 555+ พอดีติดภารกิจหลายๆอย่างครับเลยเปิดพื้นที่ให้น้องใหม่อย่าง “เฮียแม็พ” ได้จับจองพื้นที่ตรงนี้ยาวเลย แต่สำหรับวันนี้ครับพอดีมีเวลาว่างและประจวบเหมาะกับที่ทีมงานของเราได้รับลำโพงบลูทูธไร้สายรุ่น Denon Envaya Mini จากทีมงานมหาจักรฯมารีวิวพอดี ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ได้คาดหวังกับDenon Envaya Mini มากนักเพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของมันที่มีขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากมายเท่าไหร่ แต่ปรากฏว่าพอเปิดได้มีโอกาสเปิดฟังเพลงเท่านั้นละครับถึงกับต้องขอลัดคิวมารีวิวเบาๆกับเจ้า Denon Envaya Miniให้ทุกท่านได้ติดตามกันเลยทีเดียว...ส่วนจะเด็ดสะระตี่ขนาดไหนขอเชิญไปติดตามกันเลยดีกว่าจ้า :D 


Denon Envaya Mini - Design

สำหรับ Denon Envaya Mini นั้นเป็นลำโพงรูปทรงแท่งให้อารมณ์คล้ายๆกับ Sound Bar อยู่เหมือนกันเพราะต้องเน้นการใช้งานแบบวางในแนวนอนเป็นหลักซึ่งถ้าจะหยิบขึ้นมาตั้งเป็นแท่งก็พิลึกดีแต่ทำได้เหมือนกัน รอบตัวเครื่องจะเป็นตะแกรงทำมาจากโลหะมีรูรอบตัวส่วนด้านในจะเป็นตัวลำโพงจริงๆซึ่งของผมที่ได้มารีวิวคราวนี้เป็นรุ่นสีดำ-น้ำเงินตัดกันดูเท่แบบแมนๆดีครับ (อีกสีที่เคยเห็นคือสีขาวตัดส้มซึ่งน่าจะเหมาะกับสาวๆมากกว่า) เรื่องน้ำหนักก็สามารถถือได้ด้วยมือเดียวนี่แหละครับไม่ได้หนักมากนัก บางอารมณ์ถ้าอินจัดๆผมชอบหยิบขึ้นมาประหนึ่งไมโครโฟนร้องเพลงคลอไปด้วยก็ได้อารมณ์อีกแบบนะ...อารมณ์ขี้เมามาก 555+


ในส่วนของอุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่องของ Denon Envaya Mini นั้นประกอบด้วยตัวลำโพงไร้สาย, สายชาร์จแบตเตอรี่, ซองกำมะหยี่สำหรับใส่ลำโพง และคู่มือการใช้งาน


สำหรับปุ่มและพอร์ทต่างๆใน Denon Envaya Mini นั้น ทางฝั่งซ้ายจะมีปุ่มแบตเตอรี่ที่เราสามารถกดดูปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ภายในลำโพงแบบคร่าวๆได้ (จะแสดงผลเป็นสีต่างๆกันตามปริมาณ) ขณะเดียวกันตรงนี้ยังเป็นจุดรวมพอร์ทเชื่อมต่อสำคัญอาทิเช่นช่องเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่และช่องเสียบสาย AUX ซึ่งจะถูกซ่อนเอาไว้อย่างดีภายใต้ฝาปิดกันฝุ่นเข้าอีกทีหนึ่ง


ส่วนทางด้านขวาของ Denon Envaya Mini นั้นจะเน้นปุ่มควบคุมเป็นหลักโดยมีด้วยกันอยู่ 4 ปุ่มคือปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง, ปุ่มเล่น/หยุดเพลง, ปุ่มเพิ่มเสียง และปุ่มลดเสียง ซึ่งจะมีเพียงแค่ปุ่มเพิ่มเสียงเท่านั้นที่ทำมาให้นูนขึ้นกว่าพื้นผิว (ส่วนปุ่มอื่นทำบุ๋มลงไปเล็กน้อย) เข้าใจว่าน่าจะช่วยให้สามารถกดเพิ่มเสียงได้สะดวกขึ้นแม้ว่าจะมองไม่เห็นปุ่ม (เช่นในที่มืดเป็นต้น)
นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีไฟสัญญาณ Bluetooth แสดงผลอยู่ด้วยซึ่งถ้าหากว่ากำลังค้นหาสัญญาณอยู่ไฟตรงนี้จะเป็นไฟกะพริบ แต่ถ้าเชื่อมต่อบลูทูธแล้วก็จะเป็นไฟเปิดค้างแทน ซึ่งวิธีการเชื่อมต่อบลูทูธนั้นคุณต้องกดที่ปุ่มเล่น/หยุดเพลงค้างเป็นเวลา 3 วินาทีเพื่อเข้าสู่ระบบค้นหาสัญญาณ จากนั้นจึงค่อยเปิดมือถือหรือแท็บเล็ตของคุณเพื่อเชื่อมต่อผ่านบลูทูธนะครับถึงจะเห็นชื่อของ Denon Envaya Mini ขึ้นมา


ทั้งนี้นอกเหนือจากการเชื่อมต่อไร้สายแบบบลูทูธแล้ว Denon Envaya Mini ยังรองรับการเชื่อมต่อกับ NFC อีกด้วย งานนี้ถ้าใครใช้สมาร์ตโฟนฝั่ง Android ที่รองรับระบบนี้ก็ง่ายเลย...


...แค่เอามือถือของเรามาแปะเข้ากับบริเวณ NFC ในลำโพง Denon Envaya Mini ก็สามารถเปิดใช้งานฟังเพลงได้แล้วครับ ก็ถือว่าสะดวกดีไม่แพ้กัน (ในรูปคือ Samsung Galaxy Note 4 ของเฮียแม็พ)


Denon Envaya Mini - Sound

เรื่องของเสียงผ่านลำโพง Denon Envaya Mini นี่แหละครับที่ทำให้ผมประหลาดใจสุดๆเพราะตัวลำโพงแม้จะมีขนาดเล็กมากแต่กลับสามารถขับพลังเสียงออกมาได้เกินตัว เรื่องของความดังเสียงนี่ถือว่ากินขาดสามารถเปิดในห้องรับแขกขนาดมาตรฐานแล้วสามารถได้ยินเสียงจากทุกจุดได้อย่างสบายๆ ซึ่งตัวลำโพง Denon Envaya Mini นั้นเขามีจุดขายหลักคือทำมาเพื่อเหล่านักปาร์ตี้ทั้งหลายที่อยากได้ลำโพงขนาดเล็กพกพาสะดวกใช้งานง่ายแต่ให้กำลังเสียงที่ดีไม่น้อยหน้าลำโพงขนาดกลางเลย
อย่างไรก็ตามต้องบอกว่าลำโพง Denon Envaya Mini จะมีลักษณะการถ่ายทอดเสียงแบบพุ่งออกมาตรงๆมากกว่าไม่ได้ Surround รอบทิศทางจริงๆ ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่บางส่วน (ยกตัวอย่างเช่นอยู่ด้านหลังลำโพง) ที่อาจได้ยินเสียงไม่เต็มอรรถรสจริงๆ (แต่ได้ยินแน่นอนเพราะเสียงดังซะเหลือเกิน) เหมือนอย่างคนที่อยู่ตรงหน้าลำโพงโดยตรงได้สัมผัส พูดง่ายๆว่า Sweet Spot ของลำโพงรุ่นนี้คือด้านหน้านั่นแหละ แต่เอาเป็นว่าโดยรวมตรงนี้ผมว่า Denon Envaya Mini ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดีทีเดียวครับ


เอาละมาว่ากันถึงเรื่องของคุณภาพเสียงกันบ้างเพราะตัวลำโพง Denon Envaya Mini รองรับระบบ Bluetooth APT X ที่จะช่วยให้คุณสามารถฟังเพลงแบบไร้สายโดยไม่สูญเสียคุณภาพของไฟล์ (หรือเสียน้อยกว่า Bluetoothปกติทั่วไป) ซึ่งก็จะช่วยให้การฟังเพลงผ่านมือถือหรืออุปกรณ์ไร้สายอื่นๆมีคุณภาพที่น่าฟัง ส่วนเรื่องของเสียงในDenon Envaya Mini นั้นจากที่ผมได้ลองฟังเพลงมาหลากหลายประเภทพบว่าคุณภาพเสียงนั้นอยู่ในขั้น "คุ้มค่า" อย่างแรง
ไม่ว่าจะเป็นเพลงเน้นเสียงร้องตระกูล Audiophile ที่สามารถขับเสียงออกมาได้อย่างไพเราะและมีเวทีเสียงที่กว้างในระดับหนึ่ง (แต่คงไม่เท่าลำโพงใหญ่จริงๆ) หรือจะเป็นเพลง Rock เน้นไลน์กีตาร์หรือกลองที่สามารถตามเก็บรายละเอียดได้แบบ "เกือบ" ครบทุกเม็ดชนิดที่ว่าลำโพงราคาแพงกว่าหลายๆรุ่นยังทำได้แค่มองตาม และในขณะเดียวกันก็มีกำลังการขับเบสในระดับ "โต๊ะสะเทือน" (ปกติผมวางลำโพงตัวนี้ไว้บนโต๊ะทำงาน) เมื่อเปิดเพลง Dance หรือDubstep ตามสมัยนิยมแบบไม่มีหวั่นจริงๆ ซึ่งถ้าพูดไปแล้วคงไม่เห็นภาพผมเลยอยากให้ทุกท่านได้ไปลองตัวจริงของ Denon Envaya Mini ตามร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของมหาจักรฯดูก่อนครับ :)


Denon Envaya Mini - Final Verdict

สำหรับลำโพง Denon Envaya Mini โดยส่วนตัวผมแล้วต้องบอกว่า "ชอบ" เลยละครับเพราะส่วนตัวผมแล้วไม่ได้มีพื้นที่ภายในห้องมากพอที่จะเล่นชุดเครื่องเสียงจริงๆได้ทำให้ผมต้องซื้อลำโพงขนาดเล็กเป็นหลัก (ปัจจุบันใช้งาน JBL Pulse อยู่) ซึ่งหากเทียบกำลังเสียงและคุณภาพเสียงแล้ว Denon Envaya Mini ครบเครื่องและสมบูรณ์แบบพอที่จะทำให้ลำโพงราคาแพงกว่าหลายๆเจ้าถึงกับต้องอายไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องการพกพาลำโพงขนาดกำลังดีไปใช้งานข้างนอกและต้องการกำลังเสียงที่สูงพอต่อให้ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่เยอะก็ตามนี่ห้ามพลาดครับ (ฟังในห้องเล็กๆที่บ้านนี่ก็หูจะแตกอยู่แล้ว 555+)
อย่างไรก็ตามก็ยังแอบมีบางอย่างที่ขัดใจผมอยู่บ้างอย่างเช่นแบตเตอรี่ใน Denon Envaya Mini ที่เมื่อถึงเวลาใช้จริงกลับอยู่ได้ไม่นานอย่างที่คิด โดยทาง Denon บอกว่าอยู่ได้ถึง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งแต่ผมไม่เคยอยู่ได้ขนาดนั้นเลย (ปกติผมอยู่ได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง) ซึ่งก็เข้าใจว่าด้วยคุณภาพไฟล์เสียงผลลัพธ์ที่ออกมาเด็ดดวงขนาดนี้แล้วก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ "รับได้" ละครับ...ปกติผมเลยใช้งานไม่ต่างจากลำโพงจริงคือเสียบสายชาร์จไว้ตลอดเวลาเลย :P


ข้อดี

  • รูปลักษณ์กะทัดรัดแต่ดูมีคลาสตั้งบนโต๊ะสวยๆได้สบาย
  • พลังเสียงที่ต้องยกนิ้วให้
  • พกพาสะดวก
  • รองรับการเชื่อมต่อในการฟังเพลงครบทุกรูปแบบทั้งสาย AUX, Bluetooth, NFC
  • ราคาที่ถือว่าถูกมากหากเทียบกับลำโพงพกพายี่ห้ออื่น (ในระดับเสียงเดียวกัน)

ข้อสังเกต

  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องในระดับหนึ่งแต่ยังไม่ยาวนานสะใจพอ
  • ใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มค่อนข้างนาน


Denon Envaya Mini วางจำหน่ายแล้วตามร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วไปด้วยราคา 4,990 บาท


บทความโดย: ป๋าเอก TechXcite
ภาพโดย: เฮียแม็พ TechXcite

Review: Harman Kardon Onyx ลำโพงไร้สาย Bluetooth, NFC ดีไซน์โค้งมนสะกดทุกสายตา!

สวัสดีครับชาว TechXcite กลับมาพบกับ “ป๋าเอก” กันอีกครั้งกับการรีวิวอุปกรณ์ไอทีและ Gadget ที่น่าสนใจกันอีกเช่นเคย สำหรับวันนี้อยู่ในบรรยากาศสบายๆครับเพราะผมมีอีกหนึ่งลำโพงเสียงโดนใจดีไซน์สวยงามมาฝากทุกท่านกันอีกแล้วกับ Harman Kardon Onyx ที่แวบแรกตั้งแต่ได้เครื่องมาผมก็รู้สึกชอบใจดีไซน์ตัวลำโพงที่มีรูปแบบไม่ซ้ำใคร แถมพลังเสียงยังทำได้สมมาตรฐานความเป็น “Harman Kardon” เหมาะจะนำไปตั้งไว้บนโต๊ะทำงานฟังเพลงชิลล์ๆหรือจะใช้ประดับเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในบ้านแบบโมเดิร์นก็ไม่เลวเลยละครับสำหรับ Harman Kardon Onyxเครื่องนี้...


สำหรับลำโพง Harman Kardon Onyx ที่เราได้มาทดลองใช้งานกันในคราวนี้จะเป็นรุ่นสีขาวนะครับซึ่งผมมองว่าตัวสีขาวนี่แหละที่เหมาะกับการนำไปใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์สวยๆเสียเหลือเกิน (เพราะกลัวว่าจะเปื้อนเอาได้ง่ายๆ) ยิ่งวางคู่กับพวก iMac สีขาวนี่จะเป็นอะไรที่เข้ากันอย่างแรง อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ของทาง Harman Kardon ที่ออกแบบลำโพงมาแบบนี้เขาอยากให้เราได้นำไปใช้งานเป็นลำโพงบลูทูธพกพาออกไปใช้ข้างนอกได้ง่ายๆ โดยโครงสร้างมีส่วนโค้งเป็นโลหะให้คุณหยิบถือได้สะดวกซึ่งดูๆไปแล้วชวนให้ผมคิดถึงลูกโลกในคาบวิชาสังคมยังไงชอบกลแฮะ (แต่บิดพลิกไม่ได้นะ)


ทั้งนี้สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของลำโพงแบรนด์ Harman Kardon นั้นก็เป็นเอกลักษณ์ไปแล้วก็ว่าได้ว่าถ้าพูดถึงยี่ห้อนี้แล้วจะต้องนึกถึงความ "น้อยได้มาก" (Minimalistic) กันเป็นอันดับแรกแน่ๆ ซึ่งใน Harman Kardon Onyx ก็เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นการตอกย้ำคอนเซปต์ดังกล่าวด้วยดีไซน์ตัวลำโพงมาแบบเรียบๆที่ใช้วัสดุหลักเป็นหนังและโลหะ ส่วนปุ่มสำหรับควบคุมการใช้งานต่างๆของลำโพงนั้นจะเป็นปุ่มแบบสัมผัสที่คุณสามารถแตะที่ไอคอนเพื่อใช้งานได้ เอาเป็นว่าที่ผมเห็นว่าเห็นดีงามด้วยก็น่าจะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่คุณสามารถใช้งานด้วยการลูบนิ้วไปในทิศทางที่ต้องการเพิ่มหรือลดเสียงซึ่งก็ถือว่าเจ๋งดี แต่ตรงนี้อาจต้องใช้งานกันบ่อยๆสักนิดเพราะช่วงแรกยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่ (เลื่อนนิ้วปัดทีเปิดเสียงสุดลำโพงตลอดเลยช่วงแรก 555+)


ในส่วนของกำลังเสียงของ Harman Kardon Onyx นั้นสามารถทำออกมาได้สมราคาและสมชื่อของ Harman Kardon แบบสุดๆด้วยลำโพงภายในที่มีมากถึง 4 ตัวพร้อมกำลังขับมากถึง 60 วัตต์ที่จะให้พลังเสียงในระดับ "บ้านสะเทือน" เอาได้ง่ายๆ อันนี้พูดจริงๆเลยครับเพราะมีหลายครั้งที่ผมก็ไปเร่งเสียงลำโพงจนเกือบเต็มหลอดตามความเคยชินเพราะเข้าใจว่าก็คงเหมือนลำโพงพกพาทั่วไปที่ต้องเปิดให้ดังหน่อยถึงจะได้ยินแบบครบอรรถรส ปรากฏว่าไม่ใช่เลยครับเพราะ Harman Kardon Onyx เสียงดังกระหึ่มโคตรๆแม้จะเปิดเสียงแค่สักสองสามขีดแถมคุณภาพของเสียงก็ไม่ได้ลดลงไปจนสังเกตได้ด้วย (แต่ถ้าเสียงดังไปฟังใกล้ๆหูจะแตกเอา 555+) แถมจังหวะลงเบสแต่ละลูกก็มาแบบจี๊ดๆให้ได้ตื๊ดๆกันแต่ไม่ถึงขั้นหนาหรือบวมเกินไปด้วยถ้าคิดว่านี่คือ "ลำโพงพกพาได้" นะครับ :D


สำหรับลำโพง Harman Kardon Onyx สามารถใช้งานเชื่อมต่อไร้สายกับอุปกรณ์อื่นๆไร้สายได้หลากหลายรูปแบบชนิดที่ว่ายังไงก็น่าจะครบถ้วนถูกใจทุกความต้องการของคุณแน่นอนไม่ว่าจะเป็น Bluetooth, NFC, DLNA, Wi-Fi สำหรับอุปกรณ์ทั่วไปหรือ Android จะใช้งานก็เลือกกันได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นฝั่ง Apple ก็ไม่ต้องห่วงครับเพราะHarman Kardon Onyx รองรับการเชื่อมต่อกับ Airplay ด้วยเหมือนกันฮะ


หรือถ้าหากว่าคุณไม่ได้ชื่นชอบการฟังเพลงแบบไร้สายเท่าไหร่ Harman Kardon Onyx ก็ยังรองรับการเสียบสาย AUX สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เล่นเพลงต่างๆได้เหมือนกัน ซึ่งจุดเชื่อมต่อนอกเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นช่อง AUX, พอร์ท USB หรือช่องเสียบสายชาร์จนั้นจะถูกรวมกันอยู่ทางด้านเกือบล่างของตัวลำโพงครับ


อ้อ! แล้วก็อย่างที่บอกไปครับว่านี่คือลำโพงบลูทูธที่สามารถนำออกไปใช้งานข้างนอกได้ เพราะฉะนั้นคุณสามารถใช้งาน Harman Kardon Onyx โดยอาศัยแบตเตอรี่ภายในตัวเครื่องได้เลยซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยสายไฟที่แถมมาให้ในแพ็คเกจ (หน้าตาเหมือนสายชาร์จโน้ตบุ๊คไม่เบาเลยแฮะ) หรือถ้าหากคุณกะว่าจะตั้งลำโพงไว้ใช้งานอยู่กับที่ก็สามารถเสียบสายชาร์จกับ Harman Kardon Onyx ประหนึ่งเสียบปลั๊กลำโพงตลอดเวลาก็ได้เหมือนกัน เผื่อว่าต้องนำไปใช้ข้างนอกแบบกะทันหันก็สามารถถอดปลั๊กยกออกไปได้ทุกเวลาไงละฮะ ส่วนเรื่องของอายุการใช้งานต่อรอบการชาร์จเท่าที่ลองๆดูถ้าเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายจะอยู่ได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมงแต่ถ้าเป็นการเชื่อมต่อผ่าน AUX ก็จะอยู่ได้นานกว่านั้นพอสมควรครับ


ทั้งนี้สำหรับลำโพง Harman Kardon Onyx วางจำหน่ายด้วยราคา 19,900 บาทโดยมีให้เลือกด้วยกันสองสีคือสีขาวและสีดำ ซึ่งถ้าใครสนใจก็สามารถไปหาซื้อกันได้ตามร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายเครื่องเสียงรายใหญ่ทั่วประเทศ หรือจะเข้าไปสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ MahajakLife ตามลิงค์นี้เลยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดครับ ใครสนใจก็เชิญได้ตามสะดวกฮะ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mahajaklife.com
บทความโดย: ป๋าเอก TechXcite

รีวิว : หูฟัง Harman Kardon - SOHO (Wireless)

สำหรับ Harman Kardon – SOHO (Wireless) เป็นหูฟังที่แรกพบบอกเลยว่าสนใจในรูปลักษณ์ที่ทำออกมาดูดี แต่พอได้ฟังพบว่าเป็นหูฟังที่ให้เสียงได้ใหญ่เกินตัวและมาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่น่าสนใจ
แรกเริ่มเดิมทีสำหรับ หูฟัง Harman Kardon – SOHO มีรุ่นปกติใช้สายสัญญาณในการต่อกับอุปกรณ์ฟังเพลงของเรา และถัดมาได้ออก Harman Kardon – SOHO (Wireless) ที่รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth และสามารถใช้ NFC ในขั้นตอนการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ด้วย รูปร่างหน้าตาของ Harman Kardon – SOHO (Wireless) จัดว่าดูดีไม่น้อยโดยลักษณะของฟังเป็นแบบครอบหัวขนาดเล็กบริเวณหูฟังจะเป็นแบบ On-Ear ไม่ได้ครอบทั้งใบหู โครงสร้างของหูฟังเป็นก้านโลหะแล้วหุ้มหนังทับอีกที นวมหูฟังไม่หนามากแต่นิ่ม ใต้หูฟังด้านซ้ายจะมีปุ่ม Bluetooth และช่อง Micro USB ซึ่งตอนแรกที่ได้รับมาก็งงว่าปุ่มเปิดปิดการใช้งานอยู่ที่ไหนก็มาพบว่าปุ่มเปิดปิดการใช้งานรวมอยู่กับปุ่ม Bluetooth มาในตัว จุดนี้ต้องบอกไว้ก่อนกันงง ระหว่างกลางทั้ง 2 ปุ่มจะมีช่องสำหรับเชื่อมต่อสายหูฟังที่ให้มาในกล่องทำสีมาเข้ากันกับหูฟังกรณีที่เราไม่ต้องการต่อหูฟังกับอุปกรณ์ผ่าน Bluetooth ส่วนสีสันของหูฟังมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีได้แก่สีขาว, สีดำ และสีน้ำตาล

harman-kardon-soho-wireless_01
harman-kardon-soho-wireless_03
harman-kardon-soho-wireless_06

ตัวหูฟัง Harman Kardon – SOHO (Wireless) อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจจะสงสัยว่าหูฟังแบบเรียบ ๆ นี้ไม่เห็นมีปุ่มควบคุมอะไรอยู่ตรงไหนของหูฟังเลยแล้วตอนฟังเพลงจะกดปุ่มอะไรยังไง หรือต้องหยิบ iPhone ขึ้นมากดอีกอยู่ดี คำตอบคือบริเวณหูฟังมีปุ่มควบคุมการใช้งานอยู่เพียงแต่ไม่ได้ทำเป็นปุ่มให้เห็น โดยปุ่มควบคุมการใช้งานจะซ่อนอยู่ที่บริเวณด้านนอกของหูฟังด้านขวา เวลาจะใช้งานเช่นกดเล่นเพลง, เปลี่ยนเพลง, ปรับระดับเสียง ก็ใช้นิ้วไปแตะ ๆ รูด ๆ ตามตำแหน่งได้ เช่นถ้าอยากปรับระดับเสียงก็รูดนิ้วจากล่างขึ้นบนหรือบนลงล่าง หรือถ้าอยากเล่นเพลงหยุดเพลงก็ใช้นิ้วแตะบริเวณหูฟัง 1 ครั้ง เป็นต้น การควบคุมแบบนี้ Harman Kardon เรียกว่า Touch Sensitive Control ซึ่งข้อดีทำให้เราได้หูฟังที่ไม่ต้องมีปุ่มกดใด ๆ บนหูฟังมากมายนัก หูฟังเลยออกมาแนวเรียบ ๆ

harman-kardon-soho-wireless_08

สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้จาก Harman Kardon – SOHO (Wireless) ตั้งแต่ตอนใส่แล้วยังไม่เปิดเพลงเลย มีความรู้สึกว่าหูฟังตัวนี้กั้นเสียงภายนอกออกไปได้ดีในระดับหนึ่ง จุดนี้ผมยกให้เป็นข้อดีของหูฟังตัวนี้เพราะด้วยความที่ตัวเล็กเราก็ไม่นึกว่าจะกั้นเสียงอะไรได้มาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากนวมหูฟังที่นิ่มมากพอควรตอนใส่เข้าไปนวมก็จะบี้ ๆ แบน ๆ แนบไปกับหูของเราอยู่ด้วยทำให้เป็นการกั้นเสียงภายนอกได้ด้วยในตัว ถามว่ากั้นเสียงได้ระดับไหนเงียบกริบเลยรึเปล่า ถ้าบอกแบบเป็นเปอร์เซ็นต์ผมให้ว่ากั้นเสียงได้ราว ๆ 20 เปอร์เซ็นต์จากปกติ

harman-kardon-soho-wireless_07

สำหรับเสียงของ Harman Kardon – SOHO (Wireless) ผมว่าเป็นหูฟังไร้สายตัวเล็กที่ให้เสียงได้แน่นทีเดียว แน่นในทีนี้ไม่ได้หมายถึงเสียงเบสแน่น ๆ อย่างเดียว แต่มวลรวมของเสียงที่กระแทกใส่หูดูมีพลังมากทีเดียว เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้เสียงที่ได้กังวาลใช่เล่น เสียงต่ำเสียงเบสให้เสียงออกมาได้แน่นดีไม่ถึงกับดำดิ่งลงสะดือมหาสมุทร แต่มีแบบฟังแล้วแน่น ๆ เพลิน ๆ แน่นอน สำหรับเสียงอื่น ๆ ของ Harman Kardon – SOHO (Wireless) เสียงร้องชัดเจนดี ส่วนซาวด์สเตจไม่กว้างเท่าไหร่จากขนาดตัวหูฟังและระยะจากแหล่งกำเนิดเสียงถึงหูของเราใกล้กันมาก โดยรวมสำหรับเรื่องเสียงของ Harman Kardon – SOHO (Wireless) ผมให้เป็นตัวท็อป ๆ ของหูฟังขนาดเล็กรุ่นหนึ่ง

harman-kardon-soho-wireless_05

การใช้คุยโทรศัพท์ของ Harman Kardon – SOHO (Wireless) ทำได้อยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่เด่นมากอะไรนัก เพราะถ้าเจอเสียงรอบข้างจอแจก็ดูดเสียงเข้าไปเยอะเหมือนกัน
การใช้งานกรณีแบตเตอรี่หมดหรือไม่อยากต่อผ่าน Bluetooth ก็เพียงนำสายหูฟังที่ให้มาในกล่องเสียบเข้าไปก็จะใช้ฟังเพลงได้แล้ว แต่การฟังเพลงผ่านสายแบบนี้จะไม่สามารถใช้การควบคุม Touch Sensitive Control บนหูฟังได้ เหมือน ๆ ว่าฟังเพลงผ่านสายไม่ต้องใช้ระบบไฟฟ้าอะไรในหูฟังก็เลยถูกตัดออกไป สายหูฟังที่ให้มาก็จะเป็นสายอย่างเดียงไม่มีรีโมทไม่มีไมค์ติดมาให้ด้วย

harman-kardon-soho-wireless_09

สรุปสำหรับ Harman Kardon – SOHO (Wireless) คือปลื้มมากในเรื่องขนาดและเสียงที่ได้ ฟีเจอร์การควบคุมทำออกมาได้ดี จุดนี้ต้องปรับตัวเวลากดเล็กน้อยเพราะไปโดนนิดหน่อยก็กลายเป็นกด Play/Pause ไปซะอย่างงั้นแล้วบางทีตอนปัด ๆ นิ้วก็มีเหมือนกันที่ไม่ฟีเจอร์ไม่ไปตามคำสั่งนิ้วบ้าง ถ้าให้พูดถึงจุดด้อยของหูฟังตัวนี้สำหรับผมเป็นเรื่องราคาที่แอบสูงไปหน่อยแค่นั้น

จุดสังเกต
  • หูฟังครอบหัวตัวเล็ก แต่เสียงแน่น
  • ดีไซน์สวย
  • การควบคุมแบบ Touch Sensitive Control ที่ข้างหูฟังทำได้ดี
  • ราคาสูงไปนิด
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mahajaklife.com
ขอขอบคุณบทความ : Siampod.com